-->

เหล็กไหล

   

เหล็กไหลไม่มีวันตาย 

 

เหล็กไหลคืออะไร ในความเป็นจริงแล้วเหล็กไหลก็คือธาตุชนิดหนึ่งในโลก ตัวของเหล็กไหลจริงๆนั้นไม่อาจสามารถระบุได้ว่ามันเป็นธาตุอะไรกันแน่ ทั้งนี้เพราะเหล็กไหลนั้นมีหลายเผ่าพันธุ์ บางชนิดนั้นมีลักษณะเป็นโลหะธาตุแต่ก็ไม่ใช่เหล็ก บางชนิดนั้นมีลักษณะเป็นเนื้อหินไม่ใช่โลหะ ชาวบ้านจะเรียกกันว่า หินไหน บางชนิดนั้นมีลักษณะเป็นเนื้อแก้ว มีทั้งสีเขียว สีดำ บางชิ้นสีออกเหลือง ผู้รู้จะเรียกกันว่า มณีนพรัตน์ แต่เป็นความหมายของเหล็กไหล ไม่ใช่เพชรพลอยอย่างที่เข้าใจกัน

เราสามารถสรุปเหล็กไหลว่าคืออะไรได้ดังนี้ เหล็กไหลคือสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งที่มีจิตวิญญาณ มีชีวิตขั้นพื้นฐานของตนเอง และเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสังขารร่างกายอยู่ในรูปร่างของ วัตถุธาตุบางอย่าง มีอยู่หลายชนิดหลายเผ่าพันธุ์ในธรรมชาติ

 

ประเภทของเหล็กไหล

การจัดแบ่งเหล็กไหลนั้นครูบาอาจารย์ท่านจะแบ่งเหล็กไหลออกเป็นสองประเภทหลัก ก่อนที่จะแยกย่อยลงไปคือ

เหล็กไหลประเภทน้ำหนึ่ง หมายถึง เหล็กไหลชั้นยอด ที่สามารถไหลย้อยตัวเองเป็นของเหลวไปตามที่ต่างๆ มีอิทธิฤทธิ์ในการดับพิษไฟทุกชนิด มีศักยภาพในการทำลายดินระเบิด ฟอสฟอรัส เป็นมหาอุดหยุดกระสุนปืน กินพลังงานไฟฟ้าได้
เหล็กไหลประเภทที่สองเรียกว่าเหล็กไหลน้ำรอง หมายถึงรังเหล็กไหลหรือโคตรเหล็กไหล คือเหล็กไหลที่แข็งตัวเองแล้ว ไหลไปมาไม่ได้ แต่สามารถงอกได้ เจริญเติบโตได้ และมักเกาะกลุ่มกันเป็นรังใหญ่บ้าง ก่อตัวคล้ายรังผึ้ง บ้างคล้ายรังต่อหรือจอมปลวก บางชนิดพบในถ้ำ ตามผนังถ้ำ บางชนิดพออยู่ในใต้ดินลึกลงไป

เหล็กไหลประเภทน้ำหนึ่งนี้ถือเป็นของคู่บุญเป็นของเฉพาะตัว ไม่ใช่ของที่ใครๆจะหาได้ง่ายๆ และไม่ควรอย่างยิ่งที่จะใฝ่หาเหล็กไหลประเภทน้ำหนึ่งเป็นเรื่องของบุญบารมีเท่านั้น เพราะเหล็กไหลประเภทนี้มีอาถรรพ์ในตัวมาก ผู้ที่ใฝ่หาด้วยความโลภ มักเกิดความวิบัติทั้งทางทรัพย์สินเงินทองจนถึงชีวิตของตนได้

ตำนานเหล็กไหล เรียบเรียงโดย พ่อมดโลจิ

 

 

เหล็กไหลเป็นโลหะธาตุที่มีความลี้ลับพิสดาร แปลกประหลาดมหัศจรรย์แตกต่างไปจากโลหะธาตุทั้งปวง จึงได้ถูกจัดอยู่ในฐานะ “ธาตุกายสิทธิ์” ที่มีชีวิตจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นไปตามวิบากของกฎแห่งกรรม ที่บันดาลให้วิญญาณในสังสารวัฏมาปฏิสนธิ ในสภาวะที่เป็นโลหะธาตุที่ศักดิ์สิทธิ์มี อิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติทั่วไป

ดังนั้น “เหล็กไหล” จึงถือเสมือนหนึ่งเป็น “สัตว์โลกที่มีชีวิต” เผ่าพันธุ์หนึ่งในโลก เพราะเหล็กไหลมีทั้งตัวผู้และตัวเมีย สามารถเคลื่อนไหวได้ เสพบริโภคน้ำผึ้งเป็นอาหาร มีการขับถ่ายออกมาได้ ซึ่งเรียกกันว่า “ขี้เหล็กไหล” นอกจากนี้ยังสามารถเสพกามได้ แต่เป็นการเสพกามกันทางกระแสจิตวิญญาณ เพราะเพียงแต่มีความรู้สึกใคร่ในกามารมณ์ ก็สามารถบรรลุจุดสุดยอดได้ในทันที โดยไม่ ต้องมีการถูกต้องสัมผัสกัน และชอบพักผ่อนหลับนอนในสถานที่สงบตามถ้ำ

เหล็กไหลจึงจัดเป็นสัตว์ที่ประเสริฐเผ่าพันธุ์หนึ่งของโลก จัดอยู่ในจำพวกเทพ แต่เป็นเทพที่ มาชดใช้วิบากกรรมในโลกมนุษย์ ดังนั้นจึงทำให้มีพวก ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ นาค คอยให้ความอารักขาอีกทีหนึ่ง เหล็กไหลจึงมีถิ่นกำเนิด และบารมีที่แตกต่างกันไป ตามเผ่าพันธุ์และวรรณะ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะ และสมมุติเรียกหาเพื่อให้เห็นความแตกต่างชัดเจนขึ้นเท่านั้น เช่น

1.เหล็กไหลโกฏิปี เป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากมาก สีปีกแมลงทับ จะออกเขียวเข้มหรือฟ้าสดใส หรือเปลี่ยนเป็นสีท้องปลาไหล เป็นเงามันวาวเนียนละเอียด เพราะถ้าเคยเห็นปีกแมลงทับ คงจะสังเกตเห็นสีสันดังกล่าวที่ประกอบไปด้วยสีสองสี สวยงาม ชอบอยู่ในถ้ำที่ลี้ลับลึกลับและสงบวิเวก เพื่อบำเพ็ญฌานเหมือนฤาษีที่มีอายุยืนหมื่น ๆ ปี มีความเย็นเหมือนน้ำในฤดูหนาว กล่าวกันว่าเป็นเหล็กไหลที่เกิดจากมหาฤาษีในยุคต้น ๆ เป็นผู้สร้างไว้มีอำนาจทำลายอาถรรพณ์เวทย์ทุกชนิดให้สูญสิ้นเป็นสุญญตา ใครฝังติดตัวไว้รับรองไม่มีตายโหง ซ้ำยังเรียกเงินเรียกทองให้ไหลมาเนืองนอง เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี มีเสน่ห์ เมตตามหานิยม เข้าไปในสถานที่ใดมีแต่คนชอบรักใคร่ นอกจากนี้ยังป้องกันคุณไสยที่เขาทำมา ให้ตี กลับไปหาผู้ทำถึงชักดิ้นชักงอตายเอาง่าย ๆ ชอบดูดกินน้ำผึ้งและเล่นกับไฟ ล่องหนหายตัวได้ ใครได้ครอบครองจะมีอายุไม่ต่ำกว่าร้อยปี ถ้าบำเพ็ญฌาณ เช่น ฤาษี มุณี ที่ชอบบำเพ็ญธรรมอยู่ในป่า จะทำให้อายุ ยืนถึงหมื่นปี โกฏิปี
2.เหล็กไหลไพร เป็นเหล็กไหลที่พอหาได้โดยไม่ยากลำบาก สีดำสนิทหรือเทาดำ เนื้อค่อนข้างหยาบไม่มันวาว ยืดได้หดได้ ชอบเล่นกับไฟ แต่ถ้าทำหลุดมือตกลงสู่พื้นดินจะหายวับไปทันที คล้ายกับปรอทสำเร็จที่ถูกพวกยักษ์หรือคนธรรพ์ผู้รักษาช่วงชิงกลับไป ดีเด่นทางเมตตาโชคลาภ แคล้วคลาดกันภัย เกิดจากเทพในระดับต่ำลงมาใช้กรรม มีทั้งที่ แม่เหล็กดูดติดและแม่เหล็กดูดไม่ติด ขึ้นอยู่กับถิ่นกำเนิดและแร่ธาตุ ในบริเวณดังกล่าว ถ้ามีธาตุเหล็กมาก ก็จะติดแม่เหล็ก
3.เหล็กไหลเงินยวง เป็นเหล็กไหลที่หาได้ค่อนข้างยาก สีขาวขุ่นเป็นมันเลื่อม สีเหมือนเงินยวง พบได้ตามถ้ำที่มีอากาศค่อนข้างหนาวเย็น มีคุณธรรมทางด้านเมตตามหานิยม คงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและล่องหนหายตัวได้ ชอบช่วยเหลือผู้ปฏิบัติธรรม หรือดลจิตดลใจของผู้ครอบครองเหล็กไหลนี้ตั้งมั่นอยู่ในการสร้างบุญกุศล เกิดจากเทพในระดับ “อรูปฌาณ” ที่มีบารมีธรรมสูงเป็นผู้ครอบครองเหล็กไหลประเภทนี้ มักจะอยู่ในครอบครองของพวกนักบวชต่าง ๆ
4.โคตรเหล็กไหล (เหล็กไหลงอกหรือเหล็กทรหด) เป็นเหล็กไหลที่มีปรากฏอยู่ค่อนข้างมาก สีดำสนิทเป็นมันเลื่อมเมื่อกระทบแสงสว่าง ผิวค่อนข้างละเอียด แม่เหล็กดูดไม่ติดพบเห็นได้ตามถ้ำที่ ลึกลับ เกิดจากเทพที่มาใช้วิบากกรรมในโลกนี้ จึงมีพวกเทพที่เป็นยักษ์ หรือ คนธรรพ์คอยให้ความอารักขา ไม่ยืดหรือหดได้อีก แม่เหล็กดูดไม่ติด แต่ชอบกินน้ำผึ้ง สามารถงอกโตขึ้นเอง บางทีหากเจ้าของบูชาให้ดี จะเปลี่ยนเป็นสีดำอมเขียว ไปจนถึงเป็นสี รุ้ง ๗ สี ดีทั้งเมตตา โชคลาภ แคล้วคลาดกันภัย มหาอุด คงกระพันถอนพิษสัตว์เขี้ยวงาต่าง ๆ งอกขึ้นอยู่ตามพื้นถ้ำและผนังถ้ำที่มีความชื้นและเย็นพอสมควร สามารถนำมาแกะหรือเจียรนัยเป็นเครื่องรางหรือรูปวัตถุ มงคลตามต้องการ
5.เหล็กไหลย้อย เป็นเหล็กไหลที่ปรากฏอยู่ค่อนข้างมาก สีออกดำหรือเทาดำ ด้านไม่มีแวว เปราะและกรอบเหมือนเหล็กผุ เป็นเหล็กไหลที่ตายซากแล้ว ไหลย้อยอยู่ในซอกถ้ำที่ลี้ลับ ลักษณะแข็งกรอบ ยาวเป็นศอกเป็นคืบเป็นวา ไม่ยืดหรือหดได้อีก ไม่กินน้ำผึ้ง แม่เหล็กไม่ดูด เกิดจากได้มีการเคลื่อนย้ายแหล่งหาน้ำผึ้งไปในสถานที่ ใหม่ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปมาก ธาตุขันธ์เดิมจึงถูกทิ้งไว้ เหมือนไม่มี ชีวิตจิตวิญญาณ คือเหลือแต่ซากนั่นเอง บางทีมีอสูรกายชอบถือโอกาสเข้าแอบแฝงอาศัยอยู่ เกจิอาจารย์ที่มีกฤตยาคมสูงสำเร็จอัปปนาสมาธิพลังจิตแก่กล้า มักจะนำมาปลุกเสกให้เกิดอานุภาพ เมตตามหานิยม แคล้วคลาดคงกระพัน จนถึงมหาอุดเลยที เดียว แต่ถ้านำมาหลอมละลายด้วยไฟอาคมจะกลายเป็นของเหลวสีดำมันวาวเหมือนนิล หล่อหลอมเป็นพระพุทธรูป เครื่องรางต่าง ๆ ได้ดี มี อานุภาพทางโชคลาภ แคล้วคลาดคงกระพันชาตรี ทำลายอาถรรพณ์ทุกชนิด หากบูชาให้ดีจะเปลี่ยนเป็นสีต่าง ๆ ได้หลายสีตามบารมีของผู้บูชา
6.เหล็กไหลเพลิง เป็นเหล็กไหลที่พอหาได้ไม่ยาก พบอยู่ในถ้ำต่าง ๆ หลายแห่ง ฝังตัวเองอยู่ตามเพดานและผนังถ้ำที่มีลักษณะเหมือนผงฝุ่นละเอียด ออกสีแดงหรือน้ำตาล องค์ขนาดเมล็ดถั่วเขียวหรือใหญ่กว่า หากลองอธิษฐานจิตจับดูจะรู้สึกว่าร้อนเหมือนไฟ เชื่อว่าสามารถแสดงภาพมายาหลอกหลอน ทำให้ศัตรูตกใจกลัวได้
7.เหล็กไหลตาน้ำ เป็นเหล็กไหลที่หาได้ยาก มีรูปพรรณสัณฐานสีเขียวปนดำเป็นมันด้าน ลักษณะทรงกลมหรือรูปหยดน้ำ ขนาดเล็กกว่าถั่วเขียวเล็กน้อย ชอบเกาะอยู่ตามตาน้ำในซอกหินภายในถ้ำที่ลึกลับอาถรรพ์ การค้นหานอกจากวิชาอาคมแล้วยังต้องสังเกตตามตาน้ำที่ไหลผ่านบริเวณหินผาที่มีตะไคร่น้ำเกาะอยู่มาก ๆ ต้องค่อย ๆ เอามือแหวกหาดูจึงจะพบ
8.เหล็กไหลเศรษฐี เป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากมาก อาศัยอยู่ภายในถ้ำใต้น้ำ มี ลักษณะเป็นผงเกล็ดสีดำเงามันระยิบระยับ เหมือนกับเพชรต้องแสงไฟ ไหลออกมาตามธารน้ำในฤดูน้ำหลาก เชื่อกันว่าเป็นของชาวบาดาล บันดาลโชคลาภให้แก่ผู้บูชา
9.เหล็กเปียก เป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากมาก รูปพรรณสัณฐาน สีขาวขุ่นเหมือนตะกั่ว นับเป็นโลหะธาตุที่มีเนื้อเปียกชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา คล้าย ๆ กับน้ำค้างจับเกาะ เข้าไปอยู่ในสถานที่ใดก็จะเกิดบรรยากาศเย็นสบาย ถ้าอยู่ใกล้ลูกปืนอาจทำให้กระสุนด้านเพราะการแผ่รังสีความเย็นของเหล็กเปียก สมัยโบราณนิยมใช้เหล็กเปียกประดับไว้ที่ ยอดพระเจดีย์ ป้องกันฟ้าผ่า มีอานุภาพทางหนังเหนียว คงกระพันอาวุธทุกชนิด
10.ขี้เหล็กไหล มักจะปรากฏอยู่ในถ้ำหรือบริเวณที่มีเหล็กไหล เหมือนกับมูลหรือการขับถ่ายของเสียจากเหล็กไหล ลักษณะเป็นก้อนกลม ๆ สี ออกดำบ้าง น้ำตาลบ้าง ไม่สามารถยืดได้หดได้ แม่เหล็กดูดไม่ติด หากครูบาอาจารย์ผู้ทรงฌาน ทำพิธีกรรมให้ถูกต้อง เฉกเช่นวัตถุ มงคลที่ถูกปลุกเสก ก็จะมีอานุภาพตามที่ ประสงค์
11.เหล็กไหลนาคราช หรือ เหล็กไหลบาดาล มักปรากฏอยู่ในลำแม่น้ำใหญ่ที่มีภูเขาสลับซับซ้อน เช่น แม่น้ำโขง แม่น้ำแยงซีเกียง แม่น้ำคงคา เป็นต้น เพราะต้นน้ำเหล่านี้มาจากภูเขาสูงที่ศักดิ์สิทธิ์ ลักษณะคล้ายก้อนหินมันเงาเป็นเลื่อม สีดำเหมือนนิล แม่เหล็กดูดติดเชื่อว่าป้องกันพิษสัตว์เขี้ยวงา แคล้วคลาด คงกระพัน
12.เพชรหน้าทั่ง จัดอยู่ในจำพวกธาตุกายสิทธิ์คล้ายเหล็กไหล พบได้ตามถ้ำบนเขาเจ็ดร้อยยอด จ.พัทลุง ลักษณะเป็นโลหะผลึก 4 เหลี่ยม สีเหลืองนวลออกขาวคล้าย “แสตนเลส” ฝังตัวอยู่ในก้อนหิน เล็กบ้างใหญ่ บ้าง บางคนเรียก “เหล็กสายฟ้า” อยู่ในตระกูล “อัญมณี” ประกอบด้วยธาตุที่เป็นทองคำและแร่เงินผสมอยู่ด้วยกัน สีจึงออกเหลืองนวลอมทอง อมเงิน และหากโดนปฏิกิริยาทางเคมีก็จะกลายเป็นสีทอง มีฤทธิ์อำนาจในตนเองด้วยจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในธาตุโลหะนั้น โบราณเชื่อกันว่า เพชรหน้าทั่ง เป็นธาตุกายสิทธิ์ที่จะทำให้ ผู้ที่เป็นเจ้าของเกิดความร่ำรวย มักจะอยู่ในเขตที่มีสายแร่ทองคำภายใต้ภูเขาลูกนั้น
13.เหล็กหลบ จัดอยู่ในประเภทธาตุกายสิทธิ์คล้ายเหล็กไหล พบได้ตามแม่น้ำสายสำคัญของประเทศ เกิดจากการหมุนวนของแม่น้ำที่พัดพาเอาแร่ธาตุต่าง ๆ มารวมกันทับทมทวีจนเกิดการจับตัวเป็นก้อนกลม สีดำเป็นมัน สีเขียวอมดำ สีเปลือกมังคุดหรือน้ำตาลไหม้ สีทองดอกบวบ ไม่ชอบเล่นไฟหรือกินน้ำผึ้ง ปืนยิงออกแต่ไม่ถูก เด่นทางแคล้วคลาดกันภัยจากอันตรายรอบด้าน เช่น มีดรุมแทงก็จะไม่ถูก รังสีเหล็กหลบจะทำให้แฉลบออกไป หรือพกเหล็กหลบเข้าใต้ต้นพุดทรา แล้วเขย่าให้ลูกหล่นลงมา ก็จะไม่ถูกตัว
14.สะเก็ดดาว เหล็กไหลจากต่างดาว เชื่อกันว่ามีพลังมหัศจรรย์หลายอย่างแฝงอยู่ ในอุกกามณี เกิดจากการระเบิดของดวงดาวจากนอกโลกที่ผ่านบรรยากาศแล้วเกิดการลุกไหม้ก่อนตกลง สู่พื้นโลก มีขนาดตั้งแต่ขนาดก้อนกรวด จนใหญ่ขนาดก้อนหิน 10 กิโลกรัม ไม่กินน้ำผึ้ง หรือชอบเล่นไฟ แต่ดีเด่นทั้งด้าน เมตตา โชคลาภ แคล้วคลาด กันภัย
15.แก่นไม้หิน จัดอยู่ในตระกูล "พญาเหล็ก" คือไม้กลายเป็นหิน ฝรั่งเรียกว่า “ฟอสซิล” จัดอยู่ในลูกหลานว่านเครือของเหล็กไหล เชื่อกันว่าเป็นที่ลงทัณฑ์ เหล่าอสูรเทพที่ดุร้าย เหมือนการ “เข้ากรรม” เสวยกรรมในโลกมนุษย์ เพื่อไถ่บาป 1 พุทธันดร มีตบะเดชะทางด้านมหาอำนาจ แคล้วคลาดกันภัย เมตตาโชคลาภ กันพิษ
16.ข้าวตอกพระร่วง จัดอยู่ในตระกูล “พญาเหล็ก” ชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นผลึกรูปสี่เหลี่ยมเล็กใหญ่คล้ายโลหะสีน้ำตาลฝังตัวอยู่ใต้พื้นดินในเขต จังหวัดสุโขทัย ถ้านำมาขัดก็จะเปลี่ยนเป็นสีดำเหมือนนิลแวววาว ตามตำนานที่เล่าขานสืบทอดกันมาแต่ยุคสุโขทัย เมื่อพระร่วงเจ้าได้ออกผนวชในวันใส่บาตรเทโว บนลานวัดเขาพระบาทใหญ่ เมื่อฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ท่านได้โปรยข้าวที่เหลือจากก้นบาตรลงบนลานวัด แล้วอธิษฐานว่า ให้ข้าวตอกดอกไม้นี้กลายเป็นหินชนิดหนึ่ง และมีอายุยืนนานชั่วลูกชั่วหลาน เมื่อใครได้บูชาบนหิ้งพระหรือพกติดตัวก็จะอยู่ดีมีสุขและเจริญด้วยโภคทรัพย์นานาประการ ใช้ฝนน้ำมะนาวถอนพิษสัตว์เขี้ยวงาทุกชนิด อมไว้ในปากทำให้ชุ่มชื่นคอ

รู ป ท ร ง ข อ ง เ ห ล็ ก ไ ห ล

เหล็กไหลย่อมมีรูปทรงพรรณสัณฐานที่แตกต่างกันไปตามจริตและความพึงพอใจของผู้รักษา แต่เท่าที่พบเห็นและเล่าสืบทอดกันมาแต่

โบราณ พอจะประมวลได้ดังนี้

1. กลมแบน

      
2. ผลองุ่น  

  
3. ฟักเขียว       

 
4. กลมแบบลูกบอล


5. ดอกบัวตูม


6. งาช้าง


7. ลักบี้ 


8. หยดน้ำ


9. แคปซูลยา


10. เต่า


11. จาวตาล


สี สั น ข อ ง เ ห ล็ ก ไ ห ล

ดังที่ได้เคยกล่าวไว้ในตอนต้นแล้วว่า สีสันของเหล็กไหลนั้นจะบ่งบอกถึงบุญบารมีของกายทิพย์เดิมหรือผู้รักษาเหล็กไหล ซึ่งเป็นผู้ที่มีบารมีจากภพภูมิที่แตกต่างกันไป ซึ่งอาจจะเป็น พรหม ฤาษี เทวดา คนธรรพ์ เพชรพญาธร ยักษ์ ที่เข้าไปจับจองเป็นเจ้าของ ทำให้เกิดอิทธิฤทธิ์ในขั้น ล่องหนหายตัว ยืดหดเองได้ สีสันต่าง ๆ ที่พบเห็นบ่อยนั้นได้แก่

1.สีเขียวปีกแมลงทับ หรือ เขียวมรกต

2.สีเขียวตองอ่อน

3.สีน้ำตาลอ่อนหรือท้องปลาไหล

4.สีเปลือกมังคุด หรือ สีน้ำตาลไหม้

5.สีเงินยวง หรือ สีขาวเงินในเบ้าหลอม

6.สีทองลูกบวบ

7.สีนิลดำสนิทแวววาว

8.สีลูกหว้า หรือ ม่วงเข้ม

ดังนั้น สีสันของเหล็กไหลอาจแปรเปลี่ยนได้ตามกาลเวลา เพราะเหล็กไหลเมื่อได้กระจัดกระจายไปอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของโลก ซึ่งมักจะเป็นสถานที่สงบ อากาศเย็นชุ่มชื้น ทั้งใต้พื้นน้ำ ตามถ้ำ ป่าเขา ลำเนาไพร เพื่อแสวงหาอริยะสัจธรรมมานานนับโกฏิปีก็มี การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ ย่อมมีผลกระทบต่ออาณาจักรของเหล็กไหล จึงจำเป็นต้องมีการเคลื่อนย้ายที่อยู่อาศัย เสาะแสวงหาสถานที่หรือสร้างอาณาจักรขึ้นมาใหม่ ฉะนั้นสี สันของเหล็กไหลอาจเปลี่ยนแปลงได้ด้วยเหตุดังกล่าว คือ

# สีสันขึ้นอยู่กับสภาพสิ่งแวดล้อม ภูมิประเทศ ดินฟ้าอากาศ เช่น แร่ธาตุในบริเวณนั้น อากาศหนาวจัด อากาศร้อนจัด ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและสีสันที่แตกต่างกันออกไป เพื่อการอำพรางตัว ปรับตัวตามอุณหภูมิ

# สีสันเปลี่ยนแปลงไปตามจริตของเทพเทวาในระดับต่าง ๆ อาจจะเนื่องด้วยอำนาจลี้ลับของวิญญาณแห่งธรรมชาติบันดาลให้เป็นไปในสีต่าง ๆ หรือ ผู้ที่ครอบครองเหล็กไหล หมั่นฝึกฝนปฏิบัติ เจริญสมาธิภาวนาอยู่เนืองนิตย์ แล้วแผ่เมตตาบุญบารมีของการปฏิบัตินั้นให้กับเหล็กไหล จะทำให้บารมีของธาตุกายสิทธิ์นั้นเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ สีสันต่าง ๆก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้เหมือนกัน

# สีสันเกิดจากส่วนผสมของสีหลัก ๆ ผสมกัน ซึ่งเป็นความลึกลับอย่างหนึ่งของธรรมชาติ เหล็กไหล

สี สั น แ ล ะ คุ ณ ป ร ะ โ ย ช น์

ดังได้กล่าวมาแล้วว่า สีสันของเหล็กไหลนั้นจะบ่งบอกถึงบุญบารมีของกายทิพย์เดิมหรือผู้รักษาเหล็กไหล บุญฤทธิ์ของเทพพรหม ฤาษี หรือ คนธรรพ์ บังบด ครุฑ นาค ยักษ์ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหล็กไหล ผู้ เป็นสัมมาปฏิบัติ จนมีฤทธิ์อำนาจจากการปฏิบัตินั้น ย่อมสามารถเปล่งสีแสงต่าง ๆ เข้าไปในวัตถุธาตุที่ตนต้องการ ทั้งนี้ย่อมเป็นไปตามลำดับชั้นของภูมิจิตภูมิธรรมที่ได้ฝึกฝนมา

1.สีเงินยวง เหล็กไหลชนิดนี้มีอริยเทพ อริยพรหมในระดับอรูปฌาน รักษาอยู่ เป็นเหล็กไหลที่ มีบารมีธรรมในชั้นสูง พบมากในแถบที่มีอากาศเย็นจัด พวกลามะทิเบตมักใช้พกติดตัว จึงพบมากในเขตเทือกเขาสูงที่มีหิมะปกคลุม เช่นประเทศทิเบต จีน แถบภาคเหนือของไทย ลาว
ดีเด่นทางเมตตามหานิยม คงกระพันชาตรี แคล้วคลาด และล่องหนหายตัวได้ ชอบช่วยเหลือผู้ปฏิบัติธรรม หรือดลใจให้ผู้ครอบครองมีจิตใจฝักใฝ่อยู่ในการสร้างบุญสร้างกุศล เหล็กไหลชนิดนี้จัดได้ว่า เป็นเหล็กไหลที่มีบารมีธรรมสูงสุดในบรรดาผู้ครอบครองเหล็กไหลทุกชนิด สมัยโบราณมักจะนำไปจัดสร้างพระพุทธรูปหรือเครื่องรางของขลังในสมัยโบราณ ดังนั้นเหล็กไหลชนิดนี้จึงมักจะอยู่ในความครอบครองของนักบวชต่าง ๆ เช่น ฤาษี ชีไพร ภิกษุสงฆ์ผู้ท่องเที่ยวหาความวิเวกตามป่าเขา

2.สีเขียวปีกแมลงทับ เหล็กไหลชนิดนี้มี อริยเทพ อริยพรหม ในระดับ รูปฌาณ เป็นผู้ดูแลรักษา เพื่อมอบให้กับผู้ที่มีบุญบารมี และผู้ที่กำลังประพฤติปฏิบัติอยู่ในบุญกุศล เพื่อแสวงหาความหลุดพ้นนั้น ส่วนใหญ่จะมีบริวารเป็นจำนวนมากคอยอารักขาหลายชั้น
ผู้พบเห็นส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประพฤติธรรม ที่บังเอิญผ่านเข้าไปพบเข้าโดยบังเอิญ หรือเกิดจากการลองใจของเทพผู้รักษาเหล็กไหลก็แล้วแต่ บุคคลธรรมดาทั่วไปอย่าหมายว่าจะครอบครองเป็นเจ้าของได้โดยง่าย
ดีเด่นในทุก ๆ ทาง ไม่ว่าเป็นเมตตามหานิยม โชคลาภ แคล้วคลาดกันภัย ล่องหนหายตัว มหาอุด คงกระพัน ยืดได้หดได้ เล่นกับไฟ กินน้ำผึ้ง

3.สีทอง หรือ สีน้ำตาลอ่อน เหล็กไหลชนิดนี้จะมีเทวดาจำพวกคนธรรพ์และเหล่าเพชรพญาธร เป็นผู้ดูแลรักษา มีฤทธิ์อำนาจใกล้เคียงกับเหล่าพญานาค แต่มีฤทธือำนาจพิเศษกว่าคือสามารถที่จะลื่นไหลไปมาได้ สามารถที่จะกำบังกายได้ มีอยู่ตามป่าเขาทั่วไป
ดีเด่นทางด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ และความรักเด่นเป็นพิเศษ

4.สีเขียวอมดำ เหล็กไหลชนิดนี้มี อริยะเทพ อริยะพรหม ในระดับ รูปพรหม เป็นอริยะธรรมในระดับสูง ที่มุ่งบำเพ็ญบารมีรักษาพระพุทธศาสนา จะอยู่เฝ้ารักษาพระบรมสารีริกธาตุหรืออรหันต์ธาตุที่สำคัญไว้ จึงมักจะปรากฏเป็นลูกไฟดวงใหญ่เป็นสีแสงคุ้มครองรักษาธาตุศักดิ์สิทธิ์ ไม่ให้ผู้คนเข้าไปรบกวน
ดีเด่นทางด้านอิทธิฤทธิ์ เนรมิตภาพมายา ส่งเสริมผู้ใฝ่ในการปฏิบัติธรรมในรูปแบบการชี้แนะผ่านทางนิมิตรสมาธิ หรือความฝัน จัดเป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากมากชนิดหนึ่ง

5.สีชมพู เหล็กไหลชนิดนี้มี อริยเทพ อริยพรหม ในระดับ รูปฌาณ รักษาอยู่ เป็ไหลที่มี บารมีธรรมในระดับสูงรองลงมาจาก อรูปฌาณ พบมากในเขตป่าเขาที่มีความชุ่มชื้น มักอยู่ตามถ้ำภูผาที่ลึกลับ พบเห็นได้ยาก นอกจากผู้มีบารมีธรรมเข้าถึงสัจจธรรมเท่านั้น
ดีเด่นทางด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ แคล้วคลาด กันภัย ช่วยเหลือผู้เป็นสัมมาทิฏฐิให้สำเร็จในสิ่งที่อธิษฐานไว้ โดยไม่ขัดกับกฏแห่งกรรม

6.สีเหลือง เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของภูมิจิตภูมิธรรม ของเหล่าอริยเทพ อริยพรหม ในระดับรูปฌาณ ที่ปรารถนาพุทธภูมิในระดับ พระปัจเจกพุทธเจ้า สีสันเหมือนกับแสงนวลของพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ มักแฝงเร้นในที่สงบด้วยป่าเขา ลำเนาไพร ถ้ำคูหาที่สงบเยือกเย็นบนภูเขาสูง ๆ เรียกลมเรียกฝนได้ มีอิทธิ์ฤทธิ์ทำให้เกิดปาฏิหาริย์ได้มากมาย เช่น ดวงรัศมีกลมใหญ่ส่องสว่างทั่วภูเขา จะพบเห็นได้ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น
เหล็กไหลประเภทนี้สามารถอธิษฐานขออาราธนาบารมีจากพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันต์ได้ แต่จะไม่มีเทพเข้าไปสิงสถิตย์อยู่ แต่เทพพรหมในระดับจ่าง ๆ จะเข้าไปอธิษฐานของบารมีและเฝ้ารักษาอยู่ภายนอกเท่านั้น ไม่มีใครจะบังคับหรืออัญเชิญท่านด้วยอิทธิ์ฤทธิ์หรือวิชาคาถาอาคมใด ๆ เว้นแต่ขอชมบารมี ขอคำแนะนำในการปฏิบัติธรรมให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป โดยมาปรากฏในลักษณะนิมิตรต่าง ๆ ในขณะนั่งสมาธิ

7.สีฟ้าอ่อน เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของ อริยะเทพ ในระดับมหาเทพชั้นสูง ผู้ครอบครองเหล็กไหลชนิดนี้ จะเป็นผู้มีบารมีเดิมที่เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน เพื่อช่วยส่งเสริมด้านบารมีธรรมทั้งนักบวชและฆราวาสให้เป็นผู้สอนธรรมในระดับปานกลาง
จนถึงระดับสูงขึ้นไป
มีฤทธิ์อำนาจในการขจัดปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ ดับพิษร้อน ป้องกันภูติผีปีศาจ แต่มีขอบเขตและรัศมีที่จำกัด สามารถล่องหนหายตัวได้ กันฟ้าผ่า มีความเย็นจนสามารถกำจัดไฟได้ในรัศมีของมัน

8.สีน้ำตาลอมแดง เหล็กไหลชนิดนี้มีพวก นาค นาคา ผู้บำเพ็ญศีลเฝ้ารักษาอยู่ จึงมีฤทธิ์อำนาจในทางความร้อนแรงด้วยพิษแห่งนาคทั้งหลาย จึงทำให้เหล็กไหลประเภทนี้มีสีออกทางน้ำตาลเข้มและน้ำตาลอมแดง
มีฤทธิ์อำนาจในทำลายล้างพวกมนต์ดำ อวิชชา ป้องกันภูติผีปีศาจได้

9.สีดำเหมือนนิล เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของ เหล่าเทพ คนธรรพ์ บังบด เพชรพญาธร ยักษ์ ผู้ปรารถนาจะสร้างบารมีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป แต่ยังติดอยู่ในระดับโลกียฌาณ คือยังมีความ โลภ โกรธ หลง ติดอยู่ จึงทำให้มีบารมีทางธรรมน้อยกว่าเหล็กไหลชนิดอื่น ๆ
มีฤทธิ์อำนาจทางการคุ้มครอง แคล้วคลาดกันภัย เป็นมหาอุด คงกระพัน

10.เจ็ดสีประกายรุ้ง เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของ อริยะเทพ อริยะพรหมผู้รักษาเหล็กไหล ที่ปฏิบัติจนสภาวะจิตเป็นสีประกายรุ้งรัศมีสวยสดงดงาม เป็นธาตุที่หาได้ยากที่สุดและมี อำนาจครอบจักรวาลประหนึ่งแก้วสารพัดนึก แต่สิ่งที่จะอธิษฐานนั้นจะสำเร็จได้โดยไม่เกินอำนาจของกฎแห่งกรรมตามวาสนาเท่านั้น

น้ำหนักของเหล็กไหล
1.น้ำหนักเกินตัวหลาย 10 เท่า
2.น้ำหนักเบากว่าตัวเองหลายเท่า
3.น้ำหนักเท่าตัว
4.ไร้น้ำหนักดุจปุยฝ้าย กรณีเป็นเหล็กไหลที่มีมายามาก หากเอาใส่แก้วน้ำแล้วจะมองไมค่อยเห็น เพราะจะกลมกลืนไปกับน้ำเลย

 

อภินิหารของเหล็กไหล

การแสดงอำนาจอิทธิฤทธิ์ของเหล็กไหลนั้น ย่อมมีอภินิหารล้ำลึกในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ซ้ำกัน สุดแท้แต่องค์เหล็กไหลปรารถนาจะแสดงให้ชม ซึ่งพอจะประมวลอภินิหาริย์ไว้เป็นแนวทางศึกษาดังนี้


1.อยู่นิ่งได้
2.กลิ้งตัวเองให้เคลื่อนไหวได้
3.หายตัวได้
4.ปรากฏตัวได้
5.เผาทำลายตัวเองได้
6.อาวุธปืนยิงไม่ออก
7.ถอดวิญญาณออกไปได้
8.ยืดหรือหดได้
9.ทำให้น้ำร้อนกลายเป็นน้ำเย็นในชั่วพริบตา
10.กินดินปืน ฟอสฟอรัส และ ไฟได้
11.แช่ทำน้ำมนต์เพื่อรักษาโรคบางชนิดได้
12.ส่งกลิ่นหอมได้
13.เพิ่มหรือลดน้ำหนักตัวเองได้
14.เหล็กไหลบางองค์มีคุณสมบัติเป็นแม่เหล็กได้

เหล็กไหลของแท้ที่สามารถขายได้ก้อนละหลายสิบล้านไม่ว่าในสมัยก่อนหรือสมัยนี้ก็คงจะต้องมีคุณสมบัติดังนี้คือ ปืนยิงไม่ออก ชนวนระเบิดไม่ทำงาน ลนแล้วยืดหดได้ ของมีคมทำอันตรายไม่ได้ มีคุณสมบัติในการดับพิษร้อนได้ทุกชนิด เหล็กไหลของแท้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนดังกล่าวข้างต้น สมัยก่อนมีไม่กี่ก้อน แม้สมัยนี้ก็เหมือนกัน

ข้อห้าม
1.ห้ามผู้ครอบครอง หรือ เจ้าของเหล็กไหล ทดลองหรือขอชมบารมีด้วยตน เอง
2.ห้ามชักชวนคนอื่นมาชมบารมีหรือมาทดลอง

ข้อห้ามนี้ถ้าผู้ใดฝ่าฝืนจะพบกับความวิบัติมากน้อยแล้วแต่กรณี ถ้าผู้อื่นมาชมด้วยความศรัทธา ก็จะได้พบกับความพิสดารในอิทธิปาฎิหาริย์ความศักดิ์สิทธิ์ทุกราย

 

โปรดใช้วิจารณญาณในการศึกษาข้อมูล

Visitors: 157,841